สวัสดีครับเหล่าทาสหมาทาสแมวทั้งหลาย! เราอยากให้เจ้านายที่บ้านได้รับสารอาหารที่ดีที่สุด แต่มีสารอาหารตัวหนึ่งที่มาพร้อมกับ “กับดัก” ที่น่ากลัว นั่นคือ โคลีน คลอไรด์ (Choline Chloride) ที่มักถูกใส่เป็นสารเสริมในอาหารสัตว์เลี้ยง ทุกคนรู้ โลกรู้ ว่าโคลีนสำคัญต่อสมอง ตับ และระบบประสาท แต่วันนี้ผมจะมาแฉว่า “มากไปไม่ใช่ดีกว่า” และทำไมเราถึงต้องจับตาดูปริมาณให้ดี!


โคลีน (Choline) เป็นสารอาหารสำคัญสำหรับสัตว์เลี้ยง มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ การส่งผ่านประสาท (Acetylcholine) และการเผาผลาญไขมันในตับ ในอาหารสัตว์เลี้ยงเชิงพาณิชย์ มักใช้ในรูป โคลีน คลอไรด์ (Choline Chloride, CC) ถึงแม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแล เช่น NRC และ AAFCO จะกำหนดปริมาณที่แนะนำ (Recommended Allowance, RA) แต่ยังไม่มีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่ทนได้ (Tolerable Upper Limit, UL) ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่นำไปสู่ความเสี่ยง บทความวิชาการนี้ได้รวบรวมหลักฐานและกรณีศึกษาล่าสุดที่ยืนยันว่า การเสริม Choline Chloride ในปริมาณที่สูงเกินจริง เป็นอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในแมว ก่อให้เกิดภาวะพิษเฉียบพลันที่มีอาการทางระบบประสาทและทางเดินอาหารรุนแรง อีกทั้งยังนำไปสู่ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ผิดพลาด ซึ่งซับซ้อนต่อการวินิจฉัยทางค
บทบาทของโคลีน (Choline)
โคลีนเปรียบเหมือน “ตำรวจจราจร” ที่ช่วยให้ระบบสำคัญ ๆ ในร่างกายทำงานได้ราบรื่น:
- สมองฉับไว: เป็นวัตถุดิบทำ อะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้หมาแมวคิดเร็ว ทำตามคำสั่งได้ หรือแม้แต่เดินไม่ชนกำแพง!
- สุขภาพตับดี: ช่วยขนส่งไขมันออกจากตับ ป้องกันไม่ให้เกิด “ภาวะไขมันพอกตับ” (Fatty Liver) ที่อันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในแมวอ้วนที่อดอาหาร
ทำไมต้องเป็น “คลอไรด์”?ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ มักใช้โคลีนในรูป โคลีน คลอไรด์ (Choline Chloride) เพราะ สามารถเก็บรักษาง่าย (เสถียร) แต่มันก็เหมือน “ผงปรุงรส” ที่ถ้าใส่เยอะเกินไป อาหารจะเค็มจัดจนพัง! ปริมาณที่เหมาะสมนั้นถูกกำหนดโดยสมาคมนักโภชนาการไว้แล้ว แต่ปัญหาคือ ไม่มีการกำหนดปริมาณสูงสุด ทำให้โรงงานบางแห่งใส่เผื่อเหลือเผื่อขาด… ซึ่งนั่นแหละคือหายนะ!
สัญญาณอันตราย: เมื่อโคลีนกลายเป็นพิษในแมว (The Feline Crisis)
หากถามว่าสัตว์เลี้ยงชนิดไหนที่เสี่ยงที่สุด? คำตอบคือ “แมว” ครับ! แมวมีโครงสร้างทางเคมีและระบบประสาทที่ไวต่อโคลีนเกินขนาดอย่างไม่น่าเชื่อ มีรายงานกรณีศึกษาที่น่าตกใจ (Peloquin et al., 2021) เกี่ยวกับการเรียกคืนอาหารแมวกระป๋องยี่ห้อหนึ่ง ที่มีการตรวจพบโคลีน สูงกว่าปกติ ถึง 65 เท่าของปริมาณที่ควรได้รับ! ซึ่ง อาการคล้ายโดนยาพิษ (Cholinergic Crisis)
แมวที่กินอาหารกระป๋องนั้นเข้าไปแสดงอาการคล้ายถูกสารพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง:
- น้ำลายไหลยืดเป็นทาง: เหมือนก๊อกน้ำเปิดทิ้งไว้เลยครับ (Hypersalivation)
- ตัวสั่น เดินเซ: มีอาการกล้ามเนื้อกระตุก (Muscle Tremors) และเดินโซเซ (Ataxia) เหมือนเมาหนัก
- อาเจียน ท้องเสียรุนแรง: เป็นอาการคลาสสิกของระบบทางเดินอาหารระคายเคือง
- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ และบางรายรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต
อาการเหล่านี้เกิดจากการที่โคลีนเกินขนาดไปกระตุ้นสารสื่อประสาท (Acetylcholine) มากเกินไป จนร่างกายทำงานรวนไปหมด ถ้าเจออาการแบบนี้ รีบพบหมอด่วนที่สุด!
ความจำเป็นทางโภชนาการและข้อจำกัดการควบคุมปริมาณ
โคลีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นในการป้องกันภาวะไขมันสะสมในตับ (Hepatic Lipidosis หรือ Fatty Liver) ในแมวและสุนัข หากขาดจะส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันในตับและอาจถึงแก่ชีวิตได้ (Schaeffer et al., 1982)
ปริมาณแนะนำ (RA): NRC (2006) แนะนำปริมาณโคลีนสำหรับแมวโตเต็มวัยประมาณ 2,550 mg/kg ของอาหารแห้ง (DM) และ AAFCO มีค่าแนะนำที่ใกล้เคียงกัน 2,400 mg/kg
- ทั้ง NRC และ AAFCO ไม่ได้กำหนดปริมาณสูงสุดที่ทนได้ สำหรับโคลีน คลอไรด์ในสุนัขและแมว การขาดการควบคุมนี้ทำให้ผู้ผลิตบางรายเสริมโคลีนในปริมาณที่สูงเกินกว่า RA เพื่อการันตีสรรพคุณด้านสุขภาพตับ ซึ่งเป็นการสร้างความเสี่ยงโดยไม่ได้ตั้งใจ
Ref: NRC. (2006). Nutrient Requirements of Dogs and Cats. The National Academies Press; AAFCO (Current Official Publication).
ภาวะพิษโคลีน คลอไรด์เฉียบพลัน: กรณีศึกษาในแมว
รายงานกรณีศึกษาที่สำคัญที่สุดที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของ โคลีน คลอไรด์ คือกรณีภาวะพิษในแมวที่เกิดขึ้นหลังการเรียกคืนอาหารกระป๋องเชิงพาณิชย์ (Commercial Canned Cat Food)
ข้อมูลทางระบาดวิทยาและอาการทางคลินิก
กรณีศึกษาโดย Peloquin et al. (2021) และการนำเสนอที่ ACVIM Forum (2022) ได้รวบรวมอาการของแมวหลายตัวที่ได้รับอาหารซึ่งมีปริมาณโคลีน คลอไรด์สูงผิดปกติ:
- ระดับพิษ: อาหารที่ก่อปัญหาถูกวิเคราะห์พบว่ามีโคลีนอยู่ในช่วง 66,157 – 164,010 mg/kg ของอาหารแห้ง ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่า RA ของ NRC ถึงประมาณ 26-65 เท่า
- อาการทางคลินิก:
- ระบบประสาท (Neurological): กล้ามเนื้อกระตุก (Tremors), กล้ามเนื้อเสียการประสานงาน (Ataxia), และอาการสั่น (Shaking) ในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ความตายได้
- ระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal): น้ำลายไหลยืดมาก (Hypersalivation), อาเจียน (Vomiting), ท้องร่วง (Diarrhea) และภาวะซึมเศร้า (Lethargy)
- ลักษณะเฉพาะ: พบภาวะหัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) และกลิ่นคาวปลา (Fishy odor) ซึ่งบ่งชี้ถึงผลข้างเคียงของเมแทบอไลต์
กลไกการเกิดพิษที่เกี่ยวข้องกับ Acetylcholine
อาการทางระบบประสาท เช่น น้ำลายไหลยืด กล้ามเนื้อกระตุก และท้องร่วง เป็นอาการที่สอดคล้องกับ ภาวะวิกฤตโคลีเนอร์จิก (Cholinergic Crisis) ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นตัวรับอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine Receptors) มากเกินไป
- โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์อะเซทิลโคลีน (Acetylcholine, ACh) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญในระบบประสาทพาราซิมพาเทติกและจุดเชื่อมต่อประสาทและกล้ามเนื้อ (Neuromuscular Junction)
- การได้รับโคลีนในปริมาณที่สูงมาก เชื่อว่านำไปสู่การสังเคราะห์และการปลดปล่อย ACh ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Overstimulation) โดยเฉพาะในส่วนของตัวรับมัสคารินิก (Muscarinic Receptors) ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า SLUD (Salivation, Lacrimation, Urination, Defecation) และอาการทางนิโคตินิก (Nicotinic effects) เช่น กล้ามเนื้อสั่นกระตุก
Ref: ACVIM Forum. (2022). Acute Dietary Choline Chloride Toxicity in Cats: A Case Series Report; MSD Veterinary Manual. (2024). Carbamate Toxicosis in Animals (Mechanism of Action).
ผลข้างเคียงอื่น ๆ และข้อควรระวังในสุนัข
แม้รายงานภาวะพิษเฉียบพลันในสุนัขจะน้อยกว่าแมว แต่การเสริมเกินขนาดก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน:
- กลิ่นคาวปลา (Fishy Odor): โคลีนที่ไม่ถูกดูดซึมจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรเมทิลเอมีน (Trimethylamine, TMA) โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ และเมื่อถูกดูดซึมจะให้กลิ่นคาวปลาที่ฉุน (Trimethylaminuria) (OECD, 2005)
- ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: การใช้ โคลีน คลอไรด์ ในรูปเกลือที่ความเข้มข้นสูงสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและท้องร่วงแบบออสโมติก (Osmotic Diarrhea) ได้เนื่องจากฤทธิ์ของเกลือ
Ref: OECD. (2005). SIDS Initial Assessment Report for Choline Chloride.
ในฐานะสัตวแพทย์ เราควรยึดหลักการที่ว่า “การเสริมโคลีนในปริมาณที่สูงเกินไปนั้นไม่มีประโยชน์เพิ่มเติม และก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ โคลีน คลอไรด์
- การควบคุมการผลิต: ผู้ผลิตอาหารสัตว์ควรปฏิบัติตามปริมาณ RA ของ NRC/AAFCO อย่างเคร่งครัด และควรมีมาตรการควบคุมคุณภาพเพื่อป้องกัน “การเติมเกิน” (Over-addition) ของโคลีน คลอไรด์ โดยเฉพาะในอาหารสูตรเปียก (Canned Food) ที่มีประวัติเกิดปัญหา
- ทางเลือกของรูปแบบโคลีน: หากมีความต้องการเสริมโคลีนในปริมาณที่สูงกว่าปกติเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ (เช่น ภาวะไขมันพอกตับ)
- การวินิจฉัยทางคลินิก: หากพบแมวหรือสุนัขแสดงอาการ SLUD ร่วมกับอาการทางระบบประสาท (Tremors, Ataxia) และมีประวัติการบริโภคอาหารเสริมโคลีนสูง ควรพิจารณาภาวะพิษจาก Choline Chloride (CC Toxicosis) ในการวินิจฉัยแยกโรค และควรยืนยันผลการตรวจ EG ที่เป็นบวกด้วยวิธีการตรวจยืนยัน (Confirmatory Test) อื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการรักษาที่ผิดพลาด
การเสริมโภชนาการควรเน้นที่ความสมดุลและความปลอดภัย เพราะ “ปริมาณที่เกินขีดจำกัด อาจเปลี่ยนสารอาหารให้กลายเป็นสารพิษ”
บทสรุปสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
การใช้โคลีน คลอไรด์อย่างชาญฉลาดคือ “น้อยแต่มาก” ไม่ใช่ “มากแต่พัง” ครับ:
- เลือกอาหารที่น่าเชื่อถือ: อาหารสัตว์เลี้ยงที่ได้มาตรฐานจะใส่โคลีนตามปริมาณที่กำหนด (RA) อย่างแม่นยำ และไม่พยายาม “อัด” สารอาหารนี้จนเกินความจำเป็น
- ระวังอาหารเสริม: หากเจ้านายของท่านกินอาหารที่มีโคลีนเพียงพออยู่แล้ว การให้โคลีนเสริมเพิ่มอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ปรึกษาสัตวแพทย์เสมอ ก่อนจะให้อาหารเสริมใด ๆ
- สังเกตอาการ: หากหมาแมวของท่านมีอาการน้ำลายไหลยืดผิดปกติ, อาเจียน, ท้องเสีย, หรือเดินเซ รีบเก็บตัวอย่างอาหาร ที่กินล่าสุด และนำสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์โดยเร็ว พร้อมแจ้งประวัติการกินอาหารเสริมทั้งหมด
จำไว้ว่า: สารอาหารที่ดีจะกลายเป็นสารพิษได้ หากขาดความสมดุล การดูแลสัตว์เลี้ยงจึงต้องเป็น “ศาสตร์” ที่แม่นยำ ไม่ใช่แค่ “ศรัทธา” ครับ!


ด้วยความห่วงใย …ทุกช่วงวัยของชีวิต
นายสัตวแพทย์รพีพัฒน์ โพบุคดี





